คำนี้ถูกกล่างถึงโดย Richard Louv เป็นภาวะที่ไม่ใช่โรคทางการแพทย์ แต่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่อธิบายถึงผลกระทบจากการที่มนุษย์ โดยเฉพาะเด็ก ถูกตัดขาดจากโลกธรรมชาติ ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ได้แก่
1. การขยายตัวของเมือง (Urbanization) ทำให้เด็กส่วนใหญ่เติบโตในสภาพแวดล้อมที่เป็นคอนกรีต มีพื้นที่สีเขียวจำกัดและเข้าถึงได้ยาก
2. ความกลัวของผู้ปกครอง (Parental Fear) ในเรื่องความปลอดภัย อุบัติเหตุ เชื้อโรค ทำให้ผู้ปกครองจำกัดพื้นที่และเวลาเล่นของเด็กให้อยู่แต่ในบ้าน
3. การครอบงำของเทคโนโลยี (The Rise of Technology) หน้าจอกลายเป็นสิ่งบันเทิงหลักที่ดึงเวลาและสมาธิของเด็กไปจากกิจกรรมกลางแจ้งและการเล่นกับเพื่อนในชุมชน
4. ตารางชีวิตที่ถูกกำหนด ทำให้แทบไม่มีเวลาเหลือสำหรับการเล่นอย่างอิสระ (Free Play) โดยเฉพาะการเล่นในธรรมชาติ
สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กในทุกมิติ นอกเหนือจากนี้ยังรวมถึง:
1. การขาดความเชื่อมโยงกับอาหารการกิน (The Disconnect from Food)
ประเด็นนี้ส่งผลกระทบลึกซึ้งกว่าแค่การไม่รู้ว่าอาหารมาจากไหน แต่เป็นการสร้างความเข้าใจผิดต่อระบบอาหารทั้งหมด เราลองมานึกภาพไปพร้อมๆกันค่ะ…
ในโลกทัศน์ของเด็กที่ขาดธรรมชาติ เด็กกลุ่มนี้จะเห็นว่า “แครอท” ไม่ได้มาจากดินที่มีไส้เดือนพรวนอยู่ แต่มัน “เกิด” ขึ้นในถุงพลาสติกใสบนชั้นวางที่มีแสงไฟจากหลอดไฟในซูเปอร์มาร์เก็ต “เนื้อไก่” ไม่เคยมีชีวิต ไม่เคยเดินหรือขัน แต่มันคือวัตถุสีขาวซีดในรูปแบบนักเก็ตแช่แข็ง หรือ “นม” ที่มาจากกล่องสี่เหลี่ยม ไม่ได้มาจากแม่วัวที่เล็มหญ้าอยู่ในทุ่ง
ผลกระทบที่ตามมาก็คือ พฤติกรรมการเลือกกิน (Picky Eating) เด็กจะปฏิเสธอาหารที่ไม่คุ้นเคย โดยเฉพาะผักและผลไม้ เพราะมันดูแปลกตาไม่มีเรื่องราวไม่มีความผูกพันธ์เพราะไม่เคยเห็นมันเติบโต การให้เด็กได้ปลูกถั่วฝักยาวด้วยมือของตัวเอง จากเมล็ดงอกเลื้อยสูงขึ้นบนหลักค้ำยัน พวกเขาจะได้เห็นมันออกดอกออกฝักด้วยตาตัวเอง แม้จะเป็นต้นเล็กๆไม่ได้สมบูรณ์แบบอะไร แต่เมื่อเขาได้เด็ดฝักถั่วออกมาจากต้นด้วยตัวเอง มันจะเป็นการเพิ่มโอกาสที่เด็กจะทดลองกินมากกว่าการถูกบังคับให้กินถั่วฝักยาวที่ซื้อมาอย่างไม่มีที่มา
นอกจากนี้ยังมีเรื่องการไม่เห็นคุณค่าและปัญหาขยะอาหาร (Devaluation and Food Waste) ในเมื่ออาหารเป็นเพียงสินค้าที่ซื้อมาอย่างง่ายดาย เด็กจะไม่เข้าใจถึง “ต้นทุน” ที่แท้จริง ทั้งเวลาและแรงงานของเกษตรกร, ปริมาณน้ำที่ต้องใช้ และผืนดินที่ใช้ในการเพาะปลูก พวกเขาจึงทิ้งอาหารได้อย่างง่ายดายเพราะไม่รู้สึกผูกพันหรือเสียดายอาหารเหล่านั้นเลย เด็กจะขาดความเข้าใจเรื่องโภชนาการตามฤดูกาล พวกเขาจะไม่เข้าใจว่าสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละฤดูส่งผลอย่างไรต่ออาหารการกินของพวกเขา ทำไมผลไม้บางชนิดถึงมีให้กินในบางฤดู ทำไมผลไม้ถึงมีรสชาติอร่อยและราคาถูกในบางช่วงของปี เพราะเขาไม่เคยเห็นวงจรการเติบโตตามธรรมชาติแต่หาพวกมันได้ง่ายตลอดทั้งปีจากตลาดและซูปเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้าน
รากฐานของร่างกายที่แข็งแรงเริ่มต้นจากอาหารฉันใด…รากฐานของจิตใจที่อ่อนโยนและเห็นคุณค่า ก็เริ่มต้นจากการเข้าใจว่าอาหารทุกคำมาจากผืนดินและชีวิตฉันนั้น


2. ขาดความเคารพต่อสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ (Lack of Respect for Other Living Beings)
บทเรียนเรื่อง “ความเมตตา” และ “การเคารพชีวิต” ที่ดีที่สุด อาจไม่ได้อยู่ในตำราเรียนหรือนิทานสอนใจที่เราอ่านให้เด็กๆฟังก่อนนอน…แต่อยู่ใต้ก้อนหิน ในพงหญ้า หรือบนกิ่งไม้เล็กๆ ที่เรามองข้ามไป
เมื่อเด็กเติบโตในห้องสี่เหลี่ยมที่ปลอดเชื้อ “สิ่งมีชีวิตอื่น” ที่เขาเจอ มักจะเป็นเพียง “ปัญหา” ที่ต้องกำจัด เช่น มดที่มาขึ้นขนม, ยุงที่ต้องตบ, หรือแมงมุมที่น่ารังเกียจ เขาไม่เคยมีโอกาสได้เฝ้าสังเกตการณ์ “ชีวิต” ของพวกมันจริงๆ
แต่เมื่อไหร่ที่เขาได้ใช้เวลาในธรรมชาติ…
เขาจะเห็น มด ไม่ใช่แค่แมลงที่น่ารำคาญ แต่เป็นสถาปนิกที่ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ
เขาจะเห็น ไส้เดือน ไม่ใช่สัตว์น่าขยะแขยง แต่เป็นฮีโร่ที่ช่วยพรวนดินให้ต้นไม้ที่จะผลิตอาหารให้พวกเขาได้อิ่มท้อง
เขาจะเห็น ผีเสื้อ ไม่ใช่แค่ความสวยงาม แต่เป็นผลลัพธ์ของการอดทนรอคอยที่แสนยาวนานจากหนอนตัวเล็กๆ
การสัมผัสและเฝ้ามองธรรมชาติอย่างใกล้ชิดและสงบ ส่งผลให้พัฒนาการต่อยอดจากรูปธรรมสู่นามธรรม เด็กเริ่มจะเริ่มเข้าใจว่าทุกชีวิต ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่แค่ไหน ทุกตัวต่างก็มีบ้าน มีหน้าที่ มีวงจรชีวิต และกำลังดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอดไม่ต่างจากเรา ความเข้าใจนี้คือจุดเริ่มต้นของ “ความเห็นอกเห็นใจ” (Empathy) และการสร้าง “อัตลักษณ์เชิงนิเวศ” (Ecological Identity) ซึ่งหมายถึงการรับรู้ว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศที่ใหญ่กว่า และนำไปสู่จิตสำนึกในการอนุรักษ์ในที่สุด
วันที่ลูกเรียนรู้ที่จะก้มลงมองชีวิตเล็กๆ อย่างทะนุถนอม คือวันที่เมล็ดพันธุ์แห่งความอ่อนโยนได้หยั่งรากลงในหัวใจของเขา และเด็กที่เคารพชีวิตของมดตัวเล็กๆ ได้ ก็จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักเคารพหัวใจของผู้อื่นเช่นกัน
3. ความคิดสร้างสรรค์ลดลง (Diminished Creativity)
ของเล่นราคาแพงที่สุด พร้อมฟังก์ชันที่ล้ำสมัยที่สุด…อาจกำลังพรากสิ่งล้ำค่าที่สุดไปจากลูก นั่นคือ “พลังแห่งจินตนาการ”
เราอยู่ในยุคที่ของเล่นถูกออกแบบมาให้ “เล่นแบบปลายปิด” (Closed-ended) รถของเล่นต้องเป็นรถ ตุ๊กตาต้องเป็นเจ้าหญิง ทุกอย่างมีวิธีเล่นที่ถูกต้องตายตัว ซึ่งจำกัดกรอบความคิดของเด็กโดยที่เราไม่รู้ตัว
แต่ในทางกลับกัน…ธรรมชาติคือสนามเด็กเล่นแบบ “ปลายเปิด” (Open-ended) ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
กิ่งไม้หนึ่งอัน ในมือลูกสามารถเป็นได้ทั้งคทาวิเศษ, ดาบของอัศวิน, ไม้กวาดแม่มด หรือพู่กันสำหรับวาดรูปบนพื้นทราย
ก้อนหินหลายก้อน สามารถเป็นได้ทั้งกำแพงเมือง, ไข่ไดโนเสาร์, หรือตัวละครในนิทานที่เขาสร้างขึ้นเอง
แอ่งน้ำเล็กๆ คือมหาสมุทรสำหรับเรือใบไม้ หรือบ้านของสัตว์ประหลาดในจินตนาการ
การเล่นกับธรรมชาติ “บังคับ” ให้สมองของลูกต้องทำงานสร้างสรรค์ ต้องคิดนอกกรอบ ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างโครงข่ายประสาทที่ซับซ้อนและแข็งแรงยิ่งกว่าการกดปุ่มของเล่นใดๆ
จินตนาการของลูกกว้างใหญ่กว่าหน้าจอโทรศัพท์ และซับซ้อนกว่าของเล่นชิ้นไหนๆ…หน้าที่ของเราเพียงแค่เปิดประตูให้เขาได้ออกไปเจอกับ “วัตถุดิบ” ที่ดีที่สุดในโลก แล้วปล่อยให้เขาได้สร้างสรรค์โลกทั้งใบด้วยสองมือของเขาเอง


4. สูญเสียภูมิปัญญานิเวศน์ท้องถิ่น (Loss of Local Ecological Knowledge)
ลูกของเราจำชื่อไดโนเสาร์ได้หลายสิบสายพันธุ์…แต่เคยสงสัยไหมคะว่า เขารู้จักชื่อต้นไม้ที่อยู่หน้าบ้านของตัวเองหรือเปล่า?
ในอดีต เด็กๆ จะเรียนรู้จากปู่ย่าตายายซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น แต่ปัจจุบันความรู้เหล่านั้นกำลังจางหายไปพร้อมๆ กับการที่เด็กรุ่นใหม่ไม่ได้ออกไปสัมผัสกับสภาพแวดล้อมรอบตัว เรากำลังอยู่ในยุคที่ความรู้จากอินเทอร์เน็ตอยู่ใกล้แค่ปลายนิ้ว แต่ “ภูมิปัญญา” ที่เชื่อมโยงเรากับผืนดินที่เหยียบอยู่กลับค่อยๆ จางหายไปทำให้มรดกทางวัฒนธรรมและความรู้ที่สั่งสมมาหลายชั่วอายุคนขาดการสืบทอด
คนรุ่นปู่ย่าตายายรู้ว่า…
……เสียงร้องของนกชนิดนี้ บอกว่าฝนกำลังจะตก
…….ใบไม้ชนิดนี้ ใช้ต้มแก้ปวดท้องได้
…….เมฆลอยแบบนี้ หมายถึงอากาศจะร้อนจัด
…….เจอเห็ดสวย ๆ แบบนี้ อย่าเก็บมากินเพราะมันมีพิษ
ความรู้เหล่านี้ไม่ใช่แค่ข้อมูล แต่คือ “สายสัมพันธ์” ที่เชื่อมโยยงมนุษย์เข้ากับสภาพแวดล้อม เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ทำให้เรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่นั้นๆ อย่างแท้จริง การที่เด็กยุคใหม่ไม่รู้จักชื่อนก ชื่อต้นไม้ หรือฤดูกาลของดอกไม้ในท้องถิ่นตัวเอง ไม่ใช่แค่การสูญเสียข้อมูล แต่คือการสูญเสีย “ราก” ของตัวเองไป
การสอนให้ลูกรู้จักชื่อนกที่ปลุกเขาทุกเช้า หรือชื่อดอกไม้ที่บานริมรั้ว ไม่ใช่แค่การสอนวิชาวิทยาศาสตร์ แต่คือการกระซิบบอกเขาเบาๆ ว่า “ที่นี่คือบ้านของเรานะลูก” เป็นการมอบความรู้สึกมั่นคงและเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ ที่เงินทองหรือเทคโนโลยีก็ให้ไม่ได้
5. ความสัมพันธ์ในชุมชนที่อ่อนแอลง (Weakened Community Ties)
“เพื่อนเล่น” ที่ดีที่สุดของลูก อาจไม่ใช่เด็กวัยเดียวกันในห้องเรียน…แต่คือพี่ๆ น้องๆ ต่างวัยที่เจอกันโดยบังเอิญในสนามหญ้าหน้าหมู่บ้าน
ในอดีต พื้นที่ธรรมชาติในชุมชนคือ “ห้องนั่งเล่น” ขนาดใหญ่ที่ทุกคนใช้ร่วมกัน เด็กๆ เรียนรู้ทักษะทางสังคมที่ซับซ้อนจากการเล่นกับคนที่อายุมากกว่าหรือน้อยกว่า เด็กโตเรียนรู้ที่จะอ่อนข้อ เด็กเล็กเรียนรู้ที่จะเจรจาต่อรอง พ่อแม่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน สิ่งเหล่านี้คือ “เครือข่ายสังคม” ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
แต่ปัจจุบัน…
การเล่นถูกจำกัดอยู่ในบ้าน ในห้องเรียน หรือ Playgroup ที่มีแต่เด็กวัยเดียวกัน
ปฏิสัมพันธ์ถูกกำหนดด้วยตารางเวลาที่ชัดเจน ไม่มีการพบปะโดยบังเอิญ
ความกลัว ทำให้เราสร้างกำแพงสูงขึ้น และปล่อยให้พื้นที่ส่วนกลางรกร้าง
เรากำลังสร้าง “เกาะ” ของตัวเองขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว และทำให้ลูกสูญเสียโอกาสในการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับ “ความแตกต่างหลากหลาย” ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดในการใช้ชีวิตในสังคม
รั้วบ้านอาจให้ “ความปลอดภัย” แก่ลูกได้ แต่ผืนหญ้าสีเขียว ๆ ลานกว้าง ๆจะมอบ “สังคม” และ “เพื่อน” ให้กับเขา การพาลูกออกไปใช้พื้นที่ส่วนกลาง คือการช่วยถักทอสายใยของชุมชนให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง และสอนให้ลูกรู้ว่า…เราทุกคนคือส่วนหนึ่งของกันและกัน


6. การด้อยค่าของปัญญาเชิงปฏิบัติ (Devaluation of Practical Intelligence)
ใบเกรด A ในห้องเรียนนั้นสำคัญ…แต่ความสามารถในการทรงตัวบนขอนไม้ลื่นๆ หรือการก่อกองทรายไม่ให้ถล่มนั้น ก็คือ “ความเป็นเลิศ” อีกรูปแบบหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเลย
สังคมของเรามักจะให้คุณค่ากับ “ปัญญาเชิงวิชาการ” (Academic Intelligence) ที่วัดผลได้ด้วยข้อสอบอัตนัยหรือปรนัย แต่เราอาจกำลังละเลย “ปัญญาเชิงปฏิบัติ” (Practical Intelligence) หรือความฉลาดที่มาจากร่างกายของเราและการลงมือทำด้วยสองมือของเราเอง
เด็กที่ปีนต้นไม้… ไม่ได้แค่กำลังเล่นซุกซน แต่สมองของเขากำลังขมักเขม้นในการคำนวณทางฟิสิกส์เรื่องแรงโน้มถ่วงและจุดศูนย์ถ่วงอย่างซับซ้อน ร่างกายของเขากำลังเรียนรู้ที่จะทำงานประสานกันระหว่างระบบประสาทและกล้ามเนื้อทุกส่วนอย่างแม่นยำ ความคิดและจิตใจของเขากำลังเรียนรู้ที่จะประเมินความเสี่ยงและกล้าเผชิญหน้าเพื่อเอาชนะความกลัว
“ความรู้” ที่ฝังอยู่ในร่างกาย (Embodied Knowledge) นี้ คือสิ่งที่หน้าจอหรือหนังสือให้ไม่ได้ มันสร้างความมั่นใจและภาคภูมิใจที่แท้จริงจากภายใน ความรู้จากตำราอาจทำให้ลูกมี “คำตอบ” ที่ถูกต้อง แต่ประสบการณ์จากการลงมือทำจะมอบ “ทักษะ” ที่ใช้แก้ปัญหาได้จริงในชีวิต
สมองที่ฉลาดที่สุด คือสมองที่เชื่อมั่นในสัญชาตญาณของร่างกาย และร่างกายที่มั่นคงที่สุด คือร่างกายที่รู้ว่าตัวเองสามารถก้าวข้ามอุปสรรคได้ด้วยกำลังของตนเอง อย่าปล่อยให้ความเก่งของลูกถูกจำกัดอยู่แค่บนแผ่นกระดาษแบนๆ 2 มิติ แต่จงภูมิใจในทุกรอยแผลและคราบดิน เพราะนั่นคือเครื่องหมายของ “ปัญญา” ที่จะติดตัวเขาไปตลอดชีวิต
7. ความเสี่ยงต่อภาวะ “โซลาสทัลเจีย” (Risk of “Solastalgia”)
เคยสงสัยไหมคะว่าทำไมลูกถึงดูหงุดหงิดง่าย กระสับกระส่าย หรือบางทีก็ดูเหม่อลอย ทั้งๆ ที่เราก็ดูแลเขาอย่างดีที่สุด? …คำตอบทางวิทยาศาสตร์อาจซ่อนอยู่ในสิ่งที่ขาดหายไป ซึ่งร่างกายและสมองของเขากำลังโหยหาอยู่ทุกขณะจิต
เพื่อให้เข้าใจภาวะนี้ เราต้องมองย้อนกลับไปที่ “พิมพ์เขียว” ของมนุษย์กันก่อนค่ะ
1. เราทุกคนมี “สมองยุคหินในโลกยุคใหม่” ![]()
สมองของมนุษย์ใช้เวลาวิวัฒนาการกว่า 99% ของประวัติศาสตร์เผ่าพันธุ์นับล้านปีของเราในทุ่งหญ้าและป่าเขา มันถูกออกแบบมาให้อยู่รอดและเติบโตในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ แต่โลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยป่าคอนกรีตเพิ่งเกิดขึ้นแค่ชั่วพริบตาเดียวในเส้นทางวิวัฒนาการ พูดง่ายๆ คือ “ฮาร์ดแวร์” ของเรายังเป็นเวอร์ชันดั้งเดิม แต่ “ซอฟต์แวร์” รอบตัวได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ความไม่เข้ากันนี้เองที่สร้างความเครียดในระดับชีวภาพโดยที่เราไม่รู้ตัว
2. สวิตช์ “สู้หรือหนี” ที่ค้างตลอดเวลา ![]()
ในร่างกายเรามีระบบประสาทอัตโนมัติ 2 โหมด คือ
โหมดสู้หรือหนี (Sympathetic): ทำงานเมื่อเจอภัย คอยกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว หัวใจเต้นเร็ว
โหมดพักและผ่อนคลาย (Parasympathetic): ทำงานเมื่อรู้สึกปลอดภัย ช่วยให้ร่างกายได้ซ่อมแซมและสงบลง
สภาพแวดล้อมในเมืองเต็มไปด้วยสิ่งกระตุ้นที่รุนแรงและฉับพลัน (เสียงแตร, เสียงไซเรน, แสงไฟกระพริบ) สิ่งเหล่านี้คอยเปิดสวิตช์ “โหมดสู้หรือหนี” ของลูกให้ “ค้าง” อยู่ในสภาวะตื่นตัวระดับต่ำตลอดทั้งวัน ในทางตรงกันข้าม ธรรมชาติ (เสียงลม, เสียงนก, แสงแดดอ่อนๆ) คือสิ่งที่สามารถกดปุ่มเปิดสวิตช์ “โหมดพักและผ่อนคลาย” ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
3. “อาหารสมอง” ที่จำเป็นตามหลักชีววิทยา ![]()
สมองของเรามีโปรแกรมที่เรียกว่า “ไบโอฟิเลีย” (Biophilia) ซึ่งคือความต้องการเชื่อมต่อกับสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติโดยกำเนิด เหมือนกับที่ร่างกายต้องการอาหาร สมองก็ต้องการ “อาหาร” จากธรรมชาติเช่นกัน
อาหารตา: การมองเห็นรูปแบบในธรรมชาติ (Fractal Patterns) เช่น ลายบนใบไม้หรือกิ่งก้านของต้นไม้ ช่วยให้สมองรู้สึกสงบและประมวลผลได้ง่าย
อาหารหู: การได้ยินเสียงจากธรรมชาติ (Biophony) เช่น เสียงนกร้อง เสียงน้ำไหล ช่วยลดฮอร์โมนความเครียดได้อย่างน่าทึ่ง
แล้ว “โซลาสทัลเจีย” เกิดขึ้นได้อย่างไร?
เมื่อสมองยุคหินของลูกต้องอยู่ในโลกที่เปิดสวิตช์สู้หรือหนีค้างไว้ตลอดเวลา และยังขาดอาหารสมองที่จำเป็นตามหลักชีววิทยา…ร่างกายและจิตใจของเขาจึงแสดง “อาการป่วย” ออกมาในรูปของความกระสับกระส่าย สมาธิสั้น ความวิตกกังวล ความรู้สึกโหยหาและว่างเปล่าโดยไม่รู้สาเหตุนี้เอง คือภาวะที่เรียกว่า “โซลาสทัลเจีย” (Solastalgia) มันคือเสียงร้องของจิตวิญญาณที่โหยหา “บ้าน” ที่แท้จริงตามหลักวิวัฒนาการ
เราต่างพยายามเลือกสรรอาหารเสริมที่ดีที่สุดเพื่อให้ร่างกายของลูกได้รับสารอาหารครบถ้วน…แล้วเราจะปล่อยให้ “สมอง” ของเขาขาดสารอาหารที่สำคัญที่สุดตามหลักชีววิทยาได้อย่างไร?

เราได้เห็นแล้วว่าธรรมชาติไม่ใช่แค่ “ทางเลือก” หรือ “สถานที่พักผ่อน” แต่มันคือ “ความจำเป็น” ต่อการพัฒนาสมอง ร่างกาย และจิตใจของลูกอย่างสมบูรณ์ วันนี้คือวันเริ่มต้นใหม่ค่ะ ไม่เคยมีคำว่าสายเกินไปที่จะจ่าย “ยาวิเศษ” ที่ดีที่สุดให้กับลูก มาช่วยกันมอบโลกทั้งใบให้เป็นห้องเรียนและบ้านที่อบอุ่นสำหรับจิตวิญญาณของพวกเขาร่วมกัน


